ยุคแรกเปิดโรง (๒๔๗๖ - สงครามโลกครั้งที่ ๒ (๒๔๘๖)
เมื่อวันที่โรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุงได้ทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันอาทิตย์ที่ ๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ นั้นภาพยนตร์ได้ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกเกือบ ๘๖ ปีแล้ว
นับจากวันที่หลุยส์ ลูมิแอร์ (LUMIERE) และคณะได้นำภาพยนตร์ซีเนมาโตกราฟของเขาออกเผยแพร่ เก็บค่าดูจากสาธารณชนเป็นครั้งแรก ณ ห้องใต้ถุนร้านกาแฟแห่งหนึ่งในกรุงปารีส เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๔๓๘ ซึ่งถือว่าวันนี้คือวันกำเนิดของภาพยนตร์บนโลกตามมาตรฐานสากล
ระยะแรกภาพยนตร์ที่นำออกฉายที่ศาลาเฉลิมกรุงส่วนใหญ่เป็นภาพยนตร์เสียงในฟิล์มจากต่างประเทศ เนื่องจากภาพยนตร์ไทยยังคงผลิตกันได้น้อย มีการนำการพากย์เสียงภาษาไทยให้กับภาพยนตร์เสียงในฟิล์มจากต่างประเทศแทนการพากย์ภาพยนตร์เงียบโดยมีนายสิน สีบุญเรือง หรือทิดเขียว เป็นผู้ริเริ่ม
ยุคภาพยนตร์ไทย (๒๔๘๘ - ๒๕๒๔)
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่าการดำเนินการโรงภาพยนตร์เป็นกิจการต่อเนื่องซึ่งจำต้องมีผู้ดูแลให้การดำเนินงานเป็นไปด้วยดี จึงทรงมีพระราชดำริให้จัดตั้งบริษัทขึ้นมา เพื่อดูแลบริหารงานของโรงภาพยนตร์และดำเนินกิจการเกี่ยวกับการค้าภาพยนตร์ด้วย ทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามให้ว่า บริษัท สหศินีมา จำกัด (THE UNITED CINEMA COMPANY LIMITED) ซึ่งมีความหมายดังที่พระราชทานให้ว่า "แข็งแรงขึ้นร่วมกัน"
ภาพยนตร์ไทยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
ยุคละคร (๒๔๘๔-๒๔๘๘)
ที่ก่อกำเนิดมาพร้อมกับความเฟื่องฟูของละครที่ศาลาเฉลิมกรุงก็คือบรรดานักร้องหน้าม่านที่ร้องเพลงสลับฉากทั้งหลายนักร้องหน้าม่านเหล่านี้จะเป็นนักร้องเสียงดีที่มีชื่อเสียงหรือเคยผ่านเวทีการประกวดร้องเพลงมาแล้วและมาเกิดที่ศาลาเฉลิมกรุงก็หลายคน การร้องเพลงสลับฉากหน้าม่านจะเป็นการร้องเพลงกันสดๆโดยไม่มีวงดนตรีบรรเลงเสริมคอยช่วยเหลือ เมื่อยืนร้องเพลงอยู่ที่หน้าม่านนั้น คือ พรสวรรค์และความสามารถของนักร้องแต่ละคนอย่างแท้จริง นักร้องหน้าม่านของศาลาเฉลิมกรุงที่มีชื่อเสียงโด่งดังสมัยนั้นก็มี เพ็ญศรี พุ่มชูศรี, สถาพร มุกดาประกร, ชาญ เย็นแข, คำรณ สัมปุณณานนท์, ล้วน ควันธรรม, นคร มงคลายน, นคร ถนอมทรัพย์ ฯลฯ
ศาลาเฉลิมกรุงในฐานะโรงมหรสพพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ดุจเดียวกับเวทีที่ไม่อาจร้างการแสดงเป็นโรงมหรสพที่ไม่อาจร้างผู้ชม เมื่อความนิยมของผู้คนผันแปรไปอย่างไม่อาจฝืนกระแส ก็ย่อมถึงเวลาแห่งการปรับจุดยืนเปลี่ยนบทบาทการวางตัวใหม่ของศาลาเฉลิมกรุงเช่นกัน
โดยความเห็นชอบจากสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ และบริษัท สหศีนิมา จำกัด ผู้ดูแลกิจการของโรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุงได้ให้ความร่วมมือสำหรับการเข้ามาของ บริษัท เฉลิมกรุงมณีทัศน์ จำกัด ในการปรับปรุงศาลาเฉลิมกรุงให้เป็นโรงมหรสพเพื่อการแสดงระดับสากล อันเป็นที่เชิดหน้าชูตาของประเทศ
วันที่ ๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ วันสุดท้ายก่อนที่จะยุติการแสดงไว้ชั่วคราวเพื่อทำการปรับปรุงครั้งใหญ่ บริษัท เฉลิมกรุงมณีทัศน์ จำกัด ในฐานะผู้เช่าดำเนินกิจการได้ทำการปรับปรุงโรงมหรสพเก่าแก่แห่งนี้ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เพื่อสืบสานแนวพระราชดำริขององค์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงปรารถนาจะให้ศาลาเฉลิมกรุงเป็นโรงมหรสพที่เชิดหน้าชูตาของประเทศ
และเพื่อดำเนินกิจการแสดงอันเป็นการสืบทอดศิลปวัฒนธรรมและนาฏศิลป์ของไทย คือการแสดงโขนในลักษณะประยุกต์ใหม่ที่เรียกว่า “โขนจินตนฤมิต” และการแสดงละครเวที ซึ่งนับเป็นการอนุรักษ์และช่วยส่งเสริมศิลปะบันเทิงในด้านนี้ ให้มีพัฒนาการที่แพร่หลายสู่ระดับสากลประเทศและสามารถสืบทอดถึงคนรุ่นต่อไป
ด้วยเงินลงทุนกว่า ๑๐๐ ล้านบาทในการบูรณะปรับปรุงส่วนโครงสร้างและสถาปัตยกรรมภายใน โดยยึดแนวทางที่จะอนุรักษ์งานโครงสร้างเดิมไว้เป็นหลัก การต่อเติมและปรับแต่งจะทำเฉพาะในส่วนที่จำเป็นเท่านั้นเพื่อความสอดคล้อง และเอื้ออำนวยต่อการแสดงในลักษณะที่ตัวเวทีเป็นหลักในการชม ซึ่งต่างจากภาพยนตร์ที่เป็นการชมภาพจากจอฉายภาพยนตร์ ส่วนการตกแต่งแม้จะมีการเพิ่มเติมความเป็นไปของยุคสมัยปัจจุบัน และเสริมความหรูหราให้สมกับการเป็นโรงมหรสพที่เชิดหน้าชูตาของประเทศบ้างแต่ก็ยังคงแนวทางศิลปะในแบบดั้งเดิมที่มีอยู่ไว้ตลอด
ดังนั้นศาลาเฉลิมกรุงในบทบาทของโรงภาพยนตร์ชั้นหนึ่งขนาดใหญ่ที่เคยหรูหรางดงามที่สุดครั้งหนึ่ง เมื่อไม่อาจฝืนกระแสความนิยมที่ลดลงได้ จึงต้องมีการปรับตัวแหวกกระแสสู่ศิลปะบันเทิงในด้านอื่นด้วยบทบาทใหม่ของการเป็น “ศาลาเฉลิมกรุง” โรงมหรสพหลวงที่ยังคงให้บริการด้านการบันเทิงและศิลปะบันเทิงในแขนงต่างๆ เช่นเดิม เพียงแต่บทบาทใหม่ในการเป็นโรงมหรสพ “ศาลาเฉลิมกรุง” มิได้มุ่งเน้นในด้านภาพยนตร์เพียงอย่างเดียวเช่นแต่ก่อน หากมุ่งเน้นในด้านศิลปะการแสดงอันเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติไทยคือการแสดงนาฏศิลป์ “โขน” โดยนำมาประยุกต์เข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ เป็นการแสดงในลักษณะประกอบแสง สี เสียง และเทคนิคพิเศษ เพื่อเสริมอรรถรสแห่งการชมโขนให้มีจินตนาการที่สมจริงยิ่งขึ้น การแสดงนี้เรียกว่า “โขนจินตนฤมิต” ซึ่งยังคงยึดถือแนวแบบแผนของการแสดงนาฏศิลป์โขนไว้ดุจเดิม แต่ได้ทำการปรับปรุงโครงสร้างของบทและรูปแบบการนำเสนอ ให้มีความกระชับสมควรแก่เวลาในการชมและประยุกต์เทคโนโลยีเสริม เพื่อประกอบการแสดงให้มีความสนุกสนานและดึงดูดความสนใจของผู้ชมที่ห่างเหินจากศิลปะการแสดงประจำชาติแขนงนี้ให้กลับมาช่วยกันธำรงอนุรักษ์ไว้ ละครเวทีซึ่งเคยเป็นศิลปะการแสดงที่เคยรุ่งเรืองมากในยุคหนึ่งของศาลาเฉลิมกรุง ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองได้รับการสนับสนุนให้กลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งเช่นกัน ด้วยโครงสร้างระบบเวทีและเทคนิคที่เสริมสร้างและเอื้ออำนวยต่อการแสดงมากขึ้น จากความผูกพันของผู้คนทั่วไปที่มีต่อศาลาเฉลิมกรุงตลอดมา บริษัท เฉลิมกรุงมณีทัศน์ จำกัด ผู้เข้ามา รับช่วงเช่าดำเนินกิจการศาลาเฉลิมกรุงในบทบาทของ “ศาลาเฉลิมกรุง” จึงมิได้ละเลยภาพลักษณ์เก่าๆ อันคงความผูกพันระหว่างผู้คนและสถานที่แห่งนี้ ด้วยความพยายามที่จะคงเก็บถนอมสิ่งเกี่ยวข้องอันทรงคุณค่า ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบงานสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมที่มีมาตั้งแต่แรกเริ่ม สถานะความเป็นโรงมหรสพที่หรูหราสวยงามเป็นที่เชิดชูตาของประเทศ บรรยากาศของความเป็นโรงมหรสพเก่าแก่ที่ได้รับการเชื่อถือและยอมรับจากผู้คนในแวดวงที่เกี่ยวข้อง ดุจเดียวกับเป็นสถาบันทางด้านการแสดง และบรรยากาศของความผูกพันในด้านความรู้สึกที่ผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกว่า ศาลาเฉลิมกรุงเคยเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของพวกเขา
ที่สำคัญคือการนำนาฏศิลป์โขนอันเป็นศิลปะการแสดงซึ่งเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติไทย มาประยุกต์เทคโนโลยีเพื่อการนำเสนอที่น่าสนใจยิ่งขึ้นนั้น ถือเป็นการช่วยอนุรักษ์และฟื้นฟูความนิยมในการชมการแสดงแขนงนี้ ซึ่งมีอายุยืนยาวกว่า ๒๐๐ ปี ให้ดำรงอยู่และสามารถสืบทอดต่อเนื่องถึงคนรุ่นต่อๆไป รวมทั้งสามารถเผยแพร่สู่ชาวต่างประเทศในระดับสากลอีกด้วย หากจะมองกันในอีกแง่หนึ่ง ความคิดในการนำเสนอรูปแบบการแสดง “โขนจินตนฤมิต” คือ การผสานเอาเทคโนโลยีเข้ากับศิลปะการแสดงไทยที่มีความอ่อนช้อยงดงาม ซึ่งนับว่าเป็นแง่มุมที่คล้ายกับความคิดในการออกแบบอาคารศาลาเฉลิมกรุง ที่มีการผสานเทคโนโลยีทางด้านสถาปัตยกรรมในรูปแบบตะวันตกกับศิลปกรรมไทยไว้ด้วยกันอย่างเหมาะสม ทั้งสองความคิด ทั้งสองแง่มุมล้วนได้รับการสร้างสรรค์มาจากความรู้สึกที่ต้องการนำเทคโนโลยีอันมีประโยชน์มาผสานใช้กับศิลปะไทย เพื่อส่งเสริมคุณค่าความเป็นไทยให้มีความโดดเด่นน่าภาคภูมิขึ้น และมีความทันสมัยในประโยชน์ใช้สอยของเทคโนโลยีเป็นส่วนช่วยเสริม
ปัจจุบันศาลาเฉลิมกรุงได้จัดรายการศาลาเพลง – ศาลาเฉลิมกรุงขึ้นเป็นประจำทุกเดือนอย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลากว่า ๒๐ ปี เพื่อเป็นการสืบสานผลงานคุณภาพของศิลปินระดับประเทศ โดยมี “วงดนตรีเฉลิมราชย์” และ อาจารย์วิรัช อยู่ถาวร พร้อมด้วยศิลปินแห่งชาติและนักร้องชั้นนำของประเทศไทยนำเสนอแนวดนตรีหลากหลาย อาทิ เพลงพระราชนิพนธ์ เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ ๙ , เพลงไทยสากลเพื่อเชิดชูผลงานของบรมครูเพลงศิลปินแห่งชาติหลายท่าน, เพลงไทยลูกทุ่งเพื่อเป็นการอนุรักษ์และสืบสานเพลงลูกทุ่งไทย และเพลงสากล อีกทั้งยังมีกิจกรรมโครงการประกวดร้องเพลง “ศาลาเฉลิมกรุง...สืบสานตำนานเพลง” ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทั้งนี้เพื่อเป็นการเสริมสร้างจิตสำนึกของเยาวชนและประชาชนคนไทยให้หันมารักเพลงไทย ร้องเพลงไทยและเป็นผู้สืบสานบทเพลงไทยสากลอันเป็นมรดกทางด้านการดนตรีของไทยให้คงอยู่สืบไป
ปัจจุบันศาลาเฉลิมกรุงยังคงเป็นโรงมหรสพที่ยิ่งใหญ่งดงาม และยิ่งมีค่าน่าสนใจเป็นที่เชิดหน้าชูตาของประเทศไทยและชาวไทยทั้งมวล ดังพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ได้ทรงตั้งพระราชหฤทัยไว้ ศาลาเฉลิมกรุงจึงเปรียบเสมือนพระบรมราชานุสรณ์อันยิ่งใหญ่ที่สืบทอดพระราชดำริของพระองค์ผู้ทรงพระราชทานโรงมหรสพแห่งนี้ ให้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจสำหรับพสกนิกรชาวไทยตลอดไปชั่วกาลนาน